โรงพยาบาลรามคำแหง

เชิญร่วมบริจาคโลหิต ครั้งที่ 27

เชิญร่วมบริจาคโลหิต ครั้งที่ 27

🩸เชิญร่วมบริจาคโลหิต สู้วิกฤติ COVID-19 ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ยังคงประสบภาวะวิกฤติโลหิตไม่เพียงพออย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลรามคำแหงร่วมกับสภากาชาดไทย ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมกันบริจาคโลหิต ครั้งที่ 27 ในวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563 เวลา 09.00-15.00 น. (พักเที่ยง 12.00-13.00 น.) ณ ห้องประชุมอาคาร 3 ชั้น 10 รพ.รามคำแหง ✨โลหิตทุกยูนิตที่ได้รับบริจาคจากท่าน สภากาชาดไทย จะนำไปใช้ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0 2743 9999 ต่อ 2999

ปัสสาวะเล็ด…เรื่อง (ไม่) เล็ก ที่กวนใจสาวๆ

ปัสสาวะเล็ด…เรื่อง (ไม่) เล็ก ที่กวนใจสาวๆ

การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้หญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เวลาที่สาวๆ หัวเราะ ไอ หรือจามแรงๆ อาจทำให้มีปัสสาวะเล็ดลอดออกมาเปื้อนกางเกงชั้นในได้บ้างบางครั้ง นั่นก็เพราะว่ากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่คอยพยุงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะของคุณผู้หญิงเริ่มหย่อนยานไม่แข็งแรง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การคลอดบุตร อายุมากขึ้น อ้วน ไอเรื้อรัง สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ท่อปัสสาวะเปิด เมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก จึงทำให้มีปัสสาวะเล็ดออกมาได้นั่นเองครับ ถึงแม้ว่าอาการปัสสาวะเล็ดจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงแต่ก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย เพราะสร้างความเครียดและทำให้รู้สึกรำคาญใจ ซึ่งคุณสาวๆ ส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่สบายตัว ขาดความมั่นใจ รู้สึกกลัวหรือกังวลว่าเวลาปวดปัสสาวะจะเข้าห้องน้ำไม่ทันและมีปัสสาวะเล็ดออกมา การปฎิบัติตัวเพื่อป้องกันอาการปัสสาวะเล็ดทำได้ง่ายๆ โดยการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นเวลา ดื่มน้ำเยอะๆ ไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรง โดยการขมิบหูรูดเป็นประจำเพื่อเพิ่มความกระชับ ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป หลีกเลี่ยงอาการไอเรื้อรังโดยการไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่เครียด และไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไปก็ช่วยได้เช่นกันครับ.. แต่ถ้าหากเริ่มรู้สึกว่าอาการปัสสาวะเล็ดเป็นบ่อยมากขึ้น หรือลองปรับพฤติกรรมแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรเข้ามาปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมจะดีกว่านะครับ

เมื่อลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย อาจไม่ใช่เรื่องปกติ

เมื่อลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย อาจไม่ใช่เรื่องปกติ

การที่ลูกเจริญเติบโตสมวัยเป็นเรื่องดี แต่หากลูกโตเร็วเกินวัย อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องหมั่นสังเกต เพราะอาจมีความผิดปกติซ่อนอยู่ก็ได้ ภาวะที่เด็กโตเร็วกว่าปกติหรือเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย เกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กหญิง, ชาย แต่มักจะพบในเด็กหญิงมากกว่าประมาณ 8-20 เท่า โดยเฉลี่ยเด็กผู้หญิงจะเริ่มเข้าสู่วัยสาวเมื่ออายุประมาณ 8-13 ปี ส่วนเด็กผู้ชายจะเริ่มเข้าวัยหนุ่มช้ากว่าประมาณ 1-2 ปี ช่วงอายุเฉลี่ยของเด็กผู้ชายที่เริ่มเข้าวัยหนุ่มจะอยู่ที่ 9-14 ปี ซึ่งช่วงเวลาเปลี่ยนจากวัยเด็กเข้าสู่วัยหนุ่มสาวนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ในเด็กผู้หญิงจะเริ่มจากการมีเต้านมโตขึ้น และมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ตามมาด้วยการมีประจำเดือน ส่วนในเด็กผู้ชายจะเริ่มจากการที่อัณฑะมีขนาดโตขึ้น ตามมาด้วยการเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศ และการเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนที่เกิดขึ้นยังทำให้เกิดสิว กลิ่นตัว หรือมีขนบริเวณหัวหน่าวและรักแร้ได้ ดังนั้น ถ้าเด็กผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยสาวก่อนอายุ 8 ปี หรือเด็กผู้ชายเริ่มเข้าวัยหนุ่มก่อนอายุ 9 ปี จะถือว่ามีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย อาจเกิดจากการทำงานของระบบฮอร์โมนที่เกิดขึ้นก่อนเวลาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจเกิดจากความผิดปกติทางสมอง เนื้องอกบางชนิด โรคของต่อมไร้ท่อ ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ หรืออาจเกิดจากกรรมพันธ์ โดยทั่วไปการเกิดภาวะเป็นสาวก่อนวัยในเด็กหญิงมักเป็นผลมาจากการทำงานของระบบฮอร์โมนที่เกิดขึ้นก่อนเวลา โดยมักตรวจไม่พบโรคหรือความผิดปกติต่างๆ ส่วนการเกิดภาวะเป็นหนุ่มก่อนวัยในเด็กชายมีโอกาสที่จะมีสาเหตุมาจากโรคหรือความผิดปกติบางอย่างในร่างกายได้มากกว่า นอกจากนี้เด็กที่มีภาวะโภชนาการเกินหรือเด็กอ้วน จะมีโอกาสที่จะเป็นหนุ่มเป็นสาวได้มากกว่าเด็กที่มีน้ำหนักปกติ เด็กที่มีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย จะสูงและโตเร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันในระยะแรก แต่กระดูกจะปิดเร็ว (หยุดการเจริญเติบโต) […]

เคล็ดลับ… ขูดหินปูนยังไงไม่ให้เจ็บปาก

เคล็ดลับ… ขูดหินปูนยังไงไม่ให้เจ็บปาก

อีกหนึ่งปัญหาในช่องปากที่หลายคนอาจมองข้ามการรักษา เพราะคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย นั่นก็คือคราบหินปูนที่เกาะตามผิวฟัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจนำมาสู่ปัญหาช่องปากอื่นๆ ได้อย่างคาดไม่ถึง หินปูนนั้นพัฒนามาจากคราบพลัค หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือขี้ฟันนั่นแหละครับ คือจะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางๆ ใสๆ เกาะอยู่ทุกส่วนทั่วทั้งบริเวณฟันของเรา และไม่ได้เกาะติดทนอะไรมาก แค่เราแปรงฟันถูกวิธีก็หลุดหมดแล้ว แต่ถ้าเรากินพวกคาร์โบไฮเดรต แป้งหรือน้ำตาลบ่อยๆ และปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากเข้ามาชุมนุมกินน้ำตาลที่ตกค้างตามซอกฟัน เมื่อแบคทีเรียกับคราบพลัคอยู่กันนานๆ แล้วโดนแร่ธาตุจากน้ำลาย ก็จะทำให้จากฟิล์มนิ่มๆ กลายเป็นคราบแข็งฝังติดแน่นทนนานได้ นานวันเข้าชั้นฟิล์มในส่วนที่เราแปรงฟันไม่สะอาด ก็จะหนาขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็นหินปูนที่แข็ง ที่ไม่สามารถแปรงออกได้เอง และถ้าปล่อยให้หินปูนทับถมนานๆ ก็อาจทำให้เกิดฟันผุหรืออาจลามไปถึงเหงือกอักเสบ หรือกระทบกับรากฟันได้เลย ซึ่งหินปูนที่เกาะติดแน่นทนนาน สุดท้ายก็ต้องให้หมอฟันใช้เครื่องมือพิเศษทำการขูดแงะหินปูนออกเท่านั้น แล้วจะขูดหินปูนยังไง?…ไม่ให้เจ็บ แนะนำให้ขูดหินปูนเป็นประจำทุก 6-12 เดือนเพราะถ้าหินปูนยังพอกไม่แน่น หรือยังไม่ลามลึกเข้าสู่ร่องเหงือก อันนี้ขูดยังไงก็ไม่ค่อยเจ็บ ที่เจ็บๆ ส่วนใหญ่คือหินปูนสะสมนานและลามลึกเข้าสู่ร่องเหงือก จึงต้องแซะตรงร่องเหงือกด้วยเลยทำให้ระบมหรือเจ็บหลังขูดหินปูนกันเป็นประจำนั่นเอง ซึ่งนอกจากการไปหาหมอฟันทุกๆ 6-12 เดือนแล้ว การดูแลช่องปากให้ดีก็ช่วยได้เยอะเลยนะครับอาจใช้เป็นไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปากร่วมด้วยหลังแปรงฟันก็ได้ แต่ถ้าใครแพ้น้ำยาบ้วนปากหรือไม่ได้ใช้ไหมขัดฟัน การแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้า-เย็นหรือถ้าสามารถแปรงฟันกลางวันได้ก็จะยิ่งดีและพยายามเลือกแปรงสีฟันที่เหมาะสมกับปากตัวเอง หรืออาจใช้เป็นแปรงสีฟันที่ขนแปรงบิดเกลียวหมุนช่วยเพิ่มพื้นที่สัมผัสผิวฟันอันนี้ก็ช่วยได้และให้เลี่ยงทานของหวานระหว่างมื้อด้วยนะแค่นี้ก็ช่วยลดการเกิดหินปูนได้เยอะแล้ว เพียงทำตามขั้นตอนทั้งหมดที่ว่ามารับรองว่าการขูดหินปูนครั้งหน้า จะไม่เจ็บปากและไม่ต้องกินโจ๊กทุกมื้อติดต่อกันหลายวันแน่นอน…

ลูกแค่ถ่ายเหลวหรือท้องเสียกันแน่?

ลูกแค่ถ่ายเหลวหรือท้องเสียกันแน่?

👧การสังเกตว่าลูกท้องเสียหรือไม่ ให้ดูว่าเด็กถ่ายอุจจาระเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายมีมูกเลือดปนหรือไม่ ถ้าหากใช่แสดงว่าเด็กมีอาการท้องเสีย และในเด็กบางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ อาเจียน แต่ถ้าหากมีการถ่ายเหลวเพียง 1-2 ครั้ง คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าเพิ่งกังวลใจไปเลยครับ… ในเด็กเล็กโดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 1 ปี ที่มีอาการท้องเสีย ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย ผ่านทางปาก จากการกินอาหารหรือดื่มนมที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือแม้กระทั่งเวลาคลาน เวลาเล่น มือเด็กอาจไปโดนสิ่งสกปรกแล้วเอามาหยิบจับของเข้าปากก็ทำให้ท้องเสียได้ เพราะเด็กไม่สามารถดูแลตัวเองได้ จึงมีโอกาสได้รับเชื้อโรคได้ง่าย อีกทั้งภูมิต้านทานของเด็กก็ยังต่ำอยู่ ซึ่งวิธีการป้องกันท้องเสียในเด็กที่ดีที่สุดคือ การรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าปากเด็ก โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ดูแลเด็กต้องหมั่นล้างมือทุกครั้ง ก่อนจะหยิบจับอาหารหรือชงนมให้เด็กกิน รวมทั้งขวดนม จุกนม ต้องล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทันทีและฆ่าเชื้อโดยการต้มจนเดือดอย่างน้อย 10 – 15 นาที ควรชงนมในปริมาณที่กินหมดในครั้งเดียว ถ้ายังกินไม่หมดควรมีฝาครอบจุกให้มิดชิดและไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ทำความสะอาดของเล่นและพื้นที่โดยรอบเป็นประจำ 📌อย่างไรก็ตามหากเด็กมีอาการท้องเสีย เด็กจะมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่ เบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามให้เด็กได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ระยะแรกควรให้ดื่ม ORS หรือสารละลายเกลือแร่ทีละน้อย บ่อยๆ ถ้าเด็กดื่มได้ดีไม่อาเจียน หลังดื่ม […]

Fit to Fly 4 ขั้นตอน ตรวจปุ๊บ รับผลปั๊บ พร้อมบิน

Fit to Fly 4 ขั้นตอน ตรวจปุ๊บ รับผลปั๊บ พร้อมบิน

✈️Fit to Fly 4 ขั้นตอน ตรวจปุ๊บ รับผลปั๊บ พร้อมบิน รพ.รามคำแหง ให้บริการตรวจโควิด-19 พร้อมออกใบรับรองแพทย์ก่อนเดินทาง (Fit to Fly) ในราคา 4,000 บาท และด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทำให้ผู้ที่ต้องการเดินทางโดยสายการบิน หรือผู้ที่ต้องการขอวีซ่า จำเป็นต้องแสดงใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันประวัติการเจ็บป่วย และใบรับรองผลการตรวจโควิด-19 (จำเป็นมากในยุคนี้) ซึ่งขั้นตอนการตรวจนั้นก็ไม่ยุ่งยากและยังสามารถทำเสร็จได้ในวันเดียวได้ด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้ครับ… อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/499 สายด่วนสุขภาพโทร 0 2743 9999 ต่อ 2999 แอดไลน์โรงพยาบาลรามคำแหง ID Line : @ramhospital หรือ คลิก https://lin.ee/dED0pj2

ลูกนอนกรนแบบไหน? ที่ต้องพาไปพบแพทย์

ลูกนอนกรนแบบไหน? ที่ต้องพาไปพบแพทย์

การนอนมีผลต่อพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ ทั้งการเรียนรู้ สติปัญญา อารมณ์ และสมองเป็นอย่างมาก หากถูกรบกวนจากการหายใจติดขัด ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ และอาจส่งผลกับระบบหัวใจและหลอดเลือด จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตกะทันหันจากภาวะหยุดหายใจเป็นเวลานานได้อีกด้วย จากการศึกษาพบว่า 20% ของเด็กมีอาการนอนกรน โดยเด็กประมาณ 7-10% มีอาการนอนกรนทุกคืน และพบว่าเด็กประมาณ 2% มีปัญหาขณะหลับและมีภาวะหยุดหายใจ ซึ่งถือเป็นภาวะที่อันตราย ภาวะการหายใจลดลงหรือหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ 1. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เกิดจากการหายใจไม่ออก เนื่องจากทางเดินหายใจแคบหรือตัน 2. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่เกิดจากความผิดปกติของสมองที่ควบคุมการหายใจหรือกล้ามเนื้อ แต่ส่วนใหญ่จะพบในแบบแรกบ่อยมากกว่า มักพบในเด็กช่วงก่อนวัยเรียนและช่วงวัยอนุบาล อายุ 2-6 ขวบ เมื่อเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ จะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ การที่ทางเดินหายใจอุดกั้นทำให้ต้องใช้พลังงานในการหายใจมาก เวลานอนเด็กจะกระสับกระส่าย ตื่นบ่อย ส่งผลให้การนอนหลับในเวลากลางคืนไม่มีคุณภาพ กระทบการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก ซึ่งสาเหตุหลักๆ มาจาก “ต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต” เป็นผลมาจากการอักเสบซ้ำๆ จากอาการภูมิแพ้หรือเป็นหวัดบ่อยในเด็ก นอกจากนี้ยังมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น ภาวะอ้วนในเด็ก ความผิดปกติของโครงสร้างระบบทางเดินหายใจ เช่น กรามมีขนาดเล็ก มีทางเดินหายใจที่แคบกว่าปกติ มีความผิดปกติของสมองที่ทำให้การควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อระบบทางเดินหายใจผิดปกติ ฯลฯ […]

ไวรัส RSV อาการคล้ายหวัด แต่อันตรายมากกว่า

ไวรัส RSV อาการคล้ายหวัด แต่อันตรายมากกว่า

RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี หรือมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ปอด หอบหืด หรือทารกที่คลอดก่อนกำหนด เชื้อไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้ ไวรัส RSV สามารถติดต่อได้จากน้ำลาย ละอองเสมหะของเด็กที่ป่วยและไอออกมา นอกจากการแพร่กระจายจากผู้ที่มีเชื้อแล้ว อาจติดจากการไปสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนน้ำลายของผู้มีเชื้อ ดังนั้นผู้ปกครอง หรือพี่เลี้ยงที่สัมผัสเด็กป่วย ก่อนจะไปสัมผัสเด็กคนอื่นควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากเด็กคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ไวรัสตัวนี้น่ากลัวไม่น้อยเลยนะครับ เพราะถ้ามองเผินๆ คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าลูกเป็นแค่หวัดธรรมดา เนื่องจากอาการของโรคติดเชื้อไวรัส RSV มีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ซึ่งเด็กที่เป็นหวัดธรรมดาจะมีอาการไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินข้าว กินนมได้ และมักจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV จะมีไข้ ไอ จาม หอบเหนื่อย บางคนหอบมากจนอกบุ๋ม หายใจมีเสียงหวีด หรือเด็กบางคนไอมากจนอาเจียน ซึมลง กินข้าว กินนมไม่ได้ ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะเป็นเพียงการรักษาตามอาการแบบประคับประคองรอให้ร่างกายแข็งแรงจนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา และดูแลเรื่องการหายใจและเสมหะ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4-6 […]

อันตรายแทรกซ้อนของ โรคมือ เท้า ปาก

อันตรายแทรกซ้อนของ โรคมือ เท้า ปาก

“มือ เท้า ปาก” เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กทารก เด็กเล็กตามสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ติดต่อกันง่ายโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำและทำให้มีอาการรุนแรงมากกว่าเด็กโต โรคมือเท้าปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (มีมากกว่า 100 สายพันธุ์) โดยสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคที่พบบ่อย คือคอกซากีไวรัส เอ16 (coxsackievirus A16) และเอนเทอโรไวรัส 71 (enterovirus 71) สามารถติดต่อกันได้ด้วยการรับเชื้อไวรัสเข้าทางปากโดยตรง ซึ่งเชื้อไวรัสอาจติดมากับมือ หรือของเล่นที่เปื้อนน้ำมูก น้ำลาย น้ำจากแผลตุ่มพอง หรืออุจจาระของผู้ป่วย หรือติดต่อจากการไอ จาม ใส่กัน อาการเริ่มต้นของโรคมือเท้าปากจะคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้สูงหรือไข้ต่ำจากนั้น 1-2 วัน จะพบแผลในปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้น ริมฝีปาก ทำให้เจ็บกินได้น้อยอ่อนเพลีย ต่อมาจะมีตุ่มแดงหรือตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ข้อศอก รอบก้น และมักจะหายได้ภายใน 7- 10 วัน ในรายที่อาการรุนแรงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ อัมพาตกล้ามเนื้อ […]

รู้ก่อนใช้…ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน กินอย่างไร? ให้ปลอดภัย

รู้ก่อนใช้…ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน กินอย่างไร? ให้ปลอดภัย

💊ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นยาที่ผลิตออกมาเพื่อใช้เฉพาะในเหตุการณ์ฉุกเฉินและจำเป็นเท่านั้น โดยจะเกิดผลดีหากใช้ในทางที่ถูกต้อง ซึ่งยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินควรใช้ในกรณีที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ หรือมีความผิดพลาดจากการคุมกำเนิด ถุงยางรั่วหรือแตกขณะมีเพศสัมพันธ์ นับระยะปลอดภัยผิด หรือลืมกินยาคุมกำเนิดมากกว่า 3 วัน รวมถึงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ยินยอมหรือถูกข่มขืน แม้จะมีประโยชน์ในการป้องกันการตั้งครรภ์เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน แต่หากใช้ยาคุมฉุกเฉินพร่ำเพรื่อ กินยาบ่อยเกินไปหรือใช้ยาโดยขาดความเข้าใจ อาจส่งผลให้เกิดความความผิดปกติต่อระบบสืบพันธุ์ได้ในอนาคต อีกทั้งยาเม็ดคุมกำเนินฉุกเฉินยังไม่สามารถรับประกันการท้องได้ 100% และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ดังนั้นควรเลือกใช้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น และหลังการใช้หากประจำเดือนไม่ปกติ ขาดประจำเดือน เลือดออกไม่หยุด หรือปวดท้อง ควรรีบมาพบแพทย์ 📌อ่านข้อมูลเรื่อง “ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน” เพิ่มเติมคลิก https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/648