โรงพยาบาลรามคำแหง

เช็คอาการ ใช่หรือไม่ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

เช็คอาการ ใช่หรือไม่ โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

โรคน้ำในหูไม่เท่ากันเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากความผิดปกติของหูชั้นในที่ควบคุมระบบการได้ยินและการทรงตัว ทำให้มีอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน การได้ยินลดลง มีเสียงก้องในหู และแน่นหูได้ โรคนี้ไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงแก่ชีวิต แต่จะกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันในขณะที่มีอาการ สำหรับอาการที่บ่งบอกว่าเป็นโรคน้ำในหูไม่เท่ากันนั้นต้องมีอาการครบทั้ง 4 ข้อ ดังต่อไปนี้ถึงจะเรียกน้ำในหูไม่เท่ากันครับ 1. เวียนศีรษะ บ้านหมุน เห็นทุกอย่างเคลื่อนไหวไม่น้อยกว่า 20 นาที หรือในคนที่อาการเป็นหนักต้องมากถึง 12 ชั่วโมง 2. การตรวจการได้ยินของหู พบว่าการได้ยินลดลงในหูข้างใดข้างหนึ่งที่มีอาการหรือ 2 ข้างลดลง 3. อาการทางหูเป็นๆ หายๆ รู้สึกมีอะไรดันๆ ภายในหู รวมถึงการได้ยินเสียงในหูข้างเดียว 4. เมื่อตรวจอาการทางร่างกายอื่นไม่พบสาเหตุ ซึ่งความรุนแรงของโรคในแต่ละคนก็ไม่เท่ากันครับ บางคนมีอาการเกิดขึ้นและหายได้ภายใน 1 – 2 ชั่วโมง ก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่บางคนก็มีอาการรุนแรง มึนงง เป็นๆ หายๆ เป็นเวลานานจำเป็นต้องนอนพัก ส่วนสาเหตุของการเกิดนั้น ยังไม่ทราบแน่ชัดแต่อาจเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด ดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารเค็มจัดหรืออาจเกิดจากโรคบางชนิด สำหรับการรักษานั้นแพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ จะเน้นรับประทานยาเป็นหลัก ร่วมกับการขับปัสสาวะ เนื่องจากมีน้ำในหูชั้นในผิดปกติเพื่อขับน้ำออกไป […]

จะรู้ได้อย่างไร? ว่าจอประสาทตาเสื่อม

จะรู้ได้อย่างไร? ว่าจอประสาทตาเสื่อม

จอประสาทตาเสื่อม คือโรคที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นที่จุดรับภาพของจอประสาทตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นตรงกลางภาพ เมื่อเราเพ่งมองไปที่วัตถุจะเห็นวัตถุนั้นไม่ชัดหรือเบลอ โดยยังคงมองเห็นวัตถุรอบข้างได้ปกติ การตรวจพบและให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะว่าจอประสาทตาที่เสื่อมเสียไปแล้วมีแต่จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ การรักษาในปัจจุบันจึงทำได้เพียงหยุดหรือชะลอการเสื่อมเสียของจอประสาทตาให้ช้าที่สุด ซึ่งอาจรักษาไม่ได้เลยถ้าโรคเป็นรุนแรง โรคจอประสาทตาเสื่อม ข้อมูลเพิ่มเติมคลิ๊ก https://goo.gl/Q6SBaE

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาภูมิแพ้ทั้งหมด เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการที่เยื่อบุจมูกมีความไวผิดปกติต่อสิ่งกระตุ้น หรือสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ เชื้อรา หรือละอองเกสร ทำให้ร่างกายเกิดปฎิกิริยาตอบสนองผิดปกติและแสดงอาการของโรคออกมา บางคนอาจมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จามไม่หยุด และคันตาร่วมด้วย อ่านรายละเอียดและวิธีรับมือโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ คลิ๊ก https://goo.gl/JjdD4A

ไซนัสอักเสบเรื้อรัง ปล่อยไว้ไม่รักษาอาจลุกลามขึ้นตา

ไซนัสอักเสบเรื้อรัง ปล่อยไว้ไม่รักษาอาจลุกลามขึ้นตา

แล้วทำไม?.. อยู่ดีๆ เราถึงเป็นไซนัสอักเสบได้ ไซนัสเป็นโพรงอากาศบริเวณใบหน้าของคนเรา ดังนั้นถ้ามีภาวะอะไรก็ตามที่ทำให้รูเปิดของไซนัสซึ่งอยู่ภายในโพรงจมูกเกิดการอุดตันก็จะมีการค้างของเมือกบริเวณโพรงไซนัส นานเข้าก็จะกลายเป็นหนองเกิดเป็นไซนัสอักเสบตามมานั่นเองครับ สาเหตุหลักของไซนัสอักเสบมักเกิดตามหลังจากเป็นหวัดมานานๆ โรคภูมิแพ้ที่โพรงจมูกที่คุมอาการบวมไม่ดี คนที่มีฟันกรามบนผุ หรือเป็นริดสีดวงจมูก นอกจากนี้ยังพบบ่อยขึ้นในกลุ่มผู้ที่สูบบุหรี่หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นควัน มลพิษนานๆ จริงๆ แล้วไซนัสอักเสบกับไข้หวัดธรรมดา อาการจะคล้ายกันแต่ต่างกันตรงระยะเวลา ถ้าเป็นหวัดธรรมดาไม่เกินหนึ่งสัปดาห์อาการก็ควรจะดีขึ่น ถ้านานกว่านี้ให้สงสัยได้เลยครับว่าเป็นไซนัสอักเสบ ไซนัสอักเสบเฉียบพลันรักษาได้โดยการใช้ยา ทั้งยารับประทานและย่าพ่นจมูกและทำการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ ส่วนถ้าเป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง หากใช้ยาไม่ได้ผลหรือมีการอักเสบซ้ำบ่อยๆ และมีภาวะแทรกซ้อน ทั้งทางตาและสมองที่อยู่ใกล้เคียงอาจจะต้องให้การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดครับ ซึ่งปัจจุบัน Full House FESS เป็นเทคนิคการผ่าตัดส่องกล้องเข้าทางจมูกแบบเปิดโพรงไซนัสทั้งหมด ให้เชื่อมต่อกับโพรงจมูกเพื่อระบายหนองและเชื้อราออก รวมทั้งสามารถให้ยาหรือล้างจมูกเพื่อลดการอักเสบได้เต็มที่ เป็นการผ่าตัดที่แพทย์ต้องมีประสบการณ์และความชำนาญสูง ร่วมกับเครื่องมือที่ทันสมัย ช่วยให้คนไข้พื้นตัวได้เร็วขึ้น และสามารถแก้ปัญหาไซนัสอักเสบได้ในครั้งเดียว เทคโนโลยีผ่าตัดไซนัสด้วยวิธี Full House FESS อ่านเพิ่มเติมคลิ๊ก https://goo.gl/d3CPqk

นอนกรนสัญญาณอันตราย อาจหยุดหายใจขณะนอนหลับ

นอนกรนสัญญาณอันตราย อาจหยุดหายใจขณะนอนหลับ

ส่วนใหญ่เรามักจะเข้าใจว่าการนอนกรนเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะคุณผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้วแต่รู้ไหมครับว่า? การนอนกรนบางครั้งก็อันตรายกว่าที่เราคิดอีกนะครับ นอนกรน เกิดจากระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่ตีบแคบลงขณะที่เรานอนหลับสนิท ซึ่งในขณะนอนหลับนอกจากอาการกรนแล้วยังพบว่าอาจมีภาวะหยุดหายใจเกิดขึ้นร่วมด้วย ซึ่งเป็นภาวะผิดปกติของการหายใจ คือมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับ จึงทำให้คุณภาพการนอนไม่ดี การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง กลายเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย สมาธิและความจำไม่ดี การเผาผลาญด้อยประสิทธิภาพลง อาจทำให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานได้ รวมไปถึงการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับสมองและหลอดเลือดหัวใจ เช่น โรคความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหลอดเลือดสมอง และยังอาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วยนะครับ… ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้นมีหลายประการด้วยกัน เช่น ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะ มีอาการของโรคภูมิแพ้บริเวณจมูก สันจมูกเบี้ยวหรือคด รูปหน้าหรือคางผิดปกติ ต่อมทอนซิลโต การรับประทานยาที่ทำให้ง่วง และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่เป็นประจำ การรักษาโรคนอนกรนมีหลายวิธีด้วยกันครับ ขึ้นอยู่กับสาเหตุผิดปกติที่ตรวจพบและความรุนแรง แบ่งเป็นการรักษาทางยา เช่น การรักษาภาวะภูมิแพ้ การปรับพฤติกรรม เช่น การปรับท่านอน ลดน้ำหนักตัว, ไปจนถึงการรักษาด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น การใช้พลังจากคลื่นวิทยุกระชับเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องปากและคอที่หย่อนตัว หรือการผ่าตัดรักษา นอกจากนี้ปัจจุบันยังมี Application (SnoreLab) ที่ช่วยตรวจจับและบันทึกการกรนของเราในเบื้องต้นก่อนจะมาพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยและทำการตรวจเพิ่มเติมที่ละเอียดขึ้น เช่น การทำ sleep […]

อย่าปล่อยให้ฝ้า ทำหน้าหมดสวย

อย่าปล่อยให้ฝ้า ทำหน้าหมดสวย

ฝ้า เกิดจากการเพิ่มจำนวนเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนังผิดปกติ ซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงแดดจนทำให้เกิดรอยคล้ำสีน้ำตาลดำ มีลักษณะเป็นปื้น เกิดขึ้นบนใบหน้าบริเวณแก้ม ปลายจมูก เหนือริมฝีปาก หน้าผากและเหนือคิ้ว ฝ้ามีหลายชนิดมากครับ ซึ่งสาเหตุหลักๆ ของฝ้ามาจากแสงแดด แล้วทำไม? สาวๆ บางคนที่ไม่ค่อยโดนแดดถึงเป็นฝ้าได้หล่ะครับ! นั่นก็เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้แล้วมีปัจจัยอะไรอีกบ้างมาดูกันครับ… 1. คอมพิวเตอร์ เพราะแสงสว่างจากคอมพิวเตอร์ทำให้เกิดความร้อนสะสมอยู่บริเวณใบหน้าทำปฏิกิริยากับเม็ดสีเมลานินที่อยู่ใต้ผิวหนังทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้าได้เช่นกันครับ โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิตที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือคนที่ชอบท่องโลกโซเชียล 2. ความเครียด เวลาที่เครียดมากๆ ร่างกายของเราจะสร้างสารอนุมูลอิสระที่ไปกระตุ้นเม็ดสีผิวให้ทำงานผิดปกติ จนเกิดเป็นฝ้าขึ้นบนใบหน้า ยิ่งเครียดฝ้ายิ่งชัดขึ้น ฉะนั้นพยายามอย่าเครียดนะครับ 3. ยาคุมกำเนิด ยาคุมบางประเภทมีปริมาณฮอร์โมนที่มาก บางคนอาจจะไม่ถูกกับยาคุมบางยี่ห้อ เวลากินเข้าไปทำให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนมากขึ้น กระตุ้นให้เม็ดสีผิวเมลานินก่อตัวจนเกิดรอยฝ้าขึ้นบนใบหน้าและส่วนต่างๆ ตามร่างกาย ดังนั้นก่อนที่จะซื้อยาคุมมากินควรศึกษาหรือปรึกษาเภสัชกรให้ดีก่อน เพราะยาคุมบางชนิดมีตัวยาที่ส่งผลต่อการเกิดฝ้าได้ครับ 4. ตั้งครรภ์ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนขณะนั้น แต่หลังจากที่คลอดแล้ว ฝ้าก็จะค่อยๆ จางลงไปเอง ไม่ต้องตกใจไปครับ บางคนหายเร็วหายช้าก็ขึ้นอยู่กับสภาพฮอร์โมนและสภาพผิวของคุณแม่แต่ละคนด้วยครับ 5. เครื่องสำอาง หากเราเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้คุณภาพ ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ระคายเคืองผิวหนังจนเกิดสิว ฝ้าตามมา ทำให้มีปัญหาผิวที่ยากจะแก้ไขและอาจต้องใช้เวลานานในการรักษา ดังนั้นเราควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ได้คุณภาพและซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตดีกว่าครับ […]

จำเป็นแค่ไหน? ต้องทาครีมกันแดดทุกวัน

จำเป็นแค่ไหน? ต้องทาครีมกันแดดทุกวัน

เพราะแสงแดดที่แสนจะร้อนแรงแบบทุกวันนี้ ถ้าไม่มีตัวช่วยอย่างครีมกันแดดแล้วล่ะก็ทั้งผิวหน้าและผิวกายของเราคงไม่พ้นต้องเปลี่ยนสี จากขาวเป็นคล้ำหรือจากที่คล้ำอยู่แล้วก็ยิ่งคล้ำลงไปอีกเป็นแน่! ครับ… เพราะในแสงแดดเต็มไปด้วยรังสี UVA และ UVB ที่สร้างความเสียหายให้กับผิวพรรณของเรา ทั้งเรื่องของฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย ผิวหมองคล้ำและอีกหลากหลายปัญหาผิว ทั้งยังมีความน่ากลัวอีกอย่างหนึ่งก็คือ อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ การเลือกใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันแสงแดดที่จะเข้ามาทำร้ายผิว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราสามารถทำได้ทุกวัน ทั้งนี้การเลือกครีมกันแดดและการใช้อย่างถูกวิธีก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องใส่ใจ เพราะหากเราใช้ครีมกันแดดไม่ถูกวิธีแล้วคุณสมบัติที่จะช่วยปกป้องผิวอาจจะได้ไม่เต็มที่ แล้วการใช้ครีมกันแดดที่ถูกวิธีต้องทำยังไง? มาดูกันครับ 1. ควรเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวของเรา และมีค่า SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป และมี PA++ +ขึ้นไป เพราะป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB หรือถ้าต้องอยู่กลางแดดนานๆ หรือทำกิจกรรมที่มีเหงื่อก็ควรเลือก SPF ที่มีค่าสูงขึ้นและกันน้ำได้ 2. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 20-30 นาที เพื่อครีมจะได้ซึมเข้าสู่ผิวและปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 3. การทาครีมกันแดดต้องทาให้ครอบคลุม ควรทา 2 รอบ เพื่อลดพื้นที่ที่ครีมกันแดดอาจปกป้องไม่ถึง 4. เลือกชนิดครีมกันแดดให้เหมาะสมกับกิจกรรม เช่น ใช้ชนิดกันน้ำกันเหงื่อ […]

รักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยแสงอาทิตย์

รักษาโรคสะเก็ดเงินด้วยแสงอาทิตย์

ทำไม? ถึงเรียกว่าโรคสะเก็ด… สะเก็ดเงินชื่อก็บอกอยู่แล้วครับว่าต้องมีสะเก็ด! นั่นก็เพราะมีการอักเสบของผิวหนังทำให้เห็นเป็นแผ่นหนาๆ นูนแดงตามผิวหนัง ลอกเป็นขุยจำนวนมาก มักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่มีการเสียดสี แกะเกา เช่น ข้อศอก ข้อเข่า ลำตัว และในส่วนอื่นของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเล็บมือ เล็บเท้า แต่ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือหนังศรีษะครับ โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นโรคติดต่อและไม่ได้เป็นโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่เป็นปัญหาคือทำให้บุคลิกไม่ดี เพราะอาการจะคล้ายๆ กับคนที่เป็นรังแค แต่สะเก็ดเงินจะแผ่นใหญ่กว่ารังแคทั่วๆ ไป และมีอาการคัน หากแกะเกาสะเก็ดจะหลุดร่วงอยู่ตามตัว เก้าอี้ ที่นอน และมีเลือดออกที่ผิวได้ จึงทำให้เกิดปัญหาด้านจิตใจ บางคนกลัวว่าคนอื่นเห็นแล้วจะรังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้ โรคสะเก็ดเงินสามารถรักษาให้หายเร็วขึ้นโดยการฉายแสงอาทิตย์เทียม (PUVA Therapy) การรักษาด้วยวิธีนี้คือ การฉายแสงอุลตราไวโอเลต A ร่วมกับการรับประทานยา ผู้ป่วยควรจะได้รับการฉายแสงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะมีอาการดีขึ้นหลังจากได้รับการฉายแสงประมาณ 12–18 ครั้ง แต่อาจต้องได้รับการฉายแสงต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกำเริบของโรคอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน โดยจะให้ผลดีประมาณ 70–80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป มีผลข้างเคียงน้อย ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันและแดงบริเวณผิวหนังที่ฉายแสงหลังทำการรักษา และข้อดีส่วนใหญ่การกลับเป็นซ้ำของโรคจะน้อยกว่าการรักษาโดยใช้ยาทาหรือยารับประทาน ดังนั้นการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ […]

เริมหายไม่ขาดแต่จัดการได้

เริมหายไม่ขาดแต่จัดการได้

เริมใครๆ ก็เป็นได้ จริงเหรอ? เมื่อพูดถึงเริมคงมีใครหลายคนสงสัยว่า ยังมีคนเป็นโรคนี้อยู่อีกเหรอ ? เพราะดูจะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงและไม่น่าจะมีใครเป็นแล้ว แต่หมอบอกเลยว่าพบผู้ป่วยโรคนี้ทุกวันครับ! ซึ่งคนส่วนใหญ่ประมาณ 80-90% เคยได้รับเชื้อไวรัสเริมเข้าสู่ร่างกายแล้วแต่อาจไม่ได้แสดงอาการของโรคในทันที นั่นก็เพราะขณะที่ได้รับเชื้อเป็นช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอยู่นั่นเองครับ เริมคือโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะแบ่งตัว ทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะไปแอบอยู่ในปมประสาท เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอก็จะกลับมาเป็นซ้ำอีก ซึ่งในเด็กเมื่อเป็นแล้วอาจจะเกิดอาการและเป็นบ่อยกว่าผู้ใหญ่ แต่เมื่อโตขึ้นภูมิต้านทานมีมากขึ้นอาการก็จะเกิดน้อยลงครับ เริมจะมีอาการนำมาก่อนคือ เจ็บ ตึง คัน ในบริเวณนั้นๆ ภายใน 24 ชั่วโมงต่อมาก็มีตุ่มน้ำพองใส จากนั้นตุ่มก็จะแตกเป็นแผลตื้นๆ ตกสะเก็ดแล้วก็หายไป บริเวณที่พบอาการติดเชื้อเริมมากที่สุดคือ ริมฝีปาก รองลงมาคือบริเวณอวัยวะเพศ แต่จริงๆแล้วตุ่มเริมอาจจะไปขึ้นตามต้นขา ต้นแขน นิ้วมือ หรือตรงไหนของร่างกายก็ได้ ข้อสังเกตของเริมก็คือเวลาเป็นซ้ำจะขึ้นที่เดิมเสมอ เป็นๆ หายๆ อยู่อย่างนั้นครับ เพราะไม่มีวิธีการใดที่จะขับเจ้าเชื้อไวรัสนี้ออกไปจากร่างกายได้ โดยทั่วไปแล้วถ้าอาการไม่รุนแรง โรคเริมสามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่การไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการและรับยาต้านไวรัส แม้ไม่ได้ช่วยให้หายขาด แต่ความรุนแรงของโรค ความถี่ ระยะเวลาที่เป็นจะลดลง และการดูแลแผลเริมอย่างถูกวิธีก็จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดโอกาสการแพร่กระจายไปยังผู้อื่น นอกจากนี้การดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคซ้ำได้ครับ

งูสวัดผื่นร้าย อันตรายไม่ใช่เล่น

งูสวัดผื่นร้าย อันตรายไม่ใช่เล่น

ถ้าหากเรามีอาการปวดแปลกๆ มีอาการคันและแสบร้อน คล้ายถูกไฟไหม้ มีตุ่มใสขึ้นเรียงเป็นแนว เราอาจจะกำลังเป็นโรคงูสวัดอยู่ก็เป็นได้นะครับ อันที่จริงแล้วโรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกับเชื้ออีสุกอีใสที่เราเคยได้รับมาตั้งแต่วัยเด็ก หลังจากที่เป็นผื่นอีสุกอีใสแล้วเชื้อไวรัสนี้จะไปหลบซ่อนตามปมประสาทของร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติใดๆ เมื่อเราอายุมากขึ้นหรือเมื่อร่างกายอ่อนแอผื่นก็จะกำเริบขึ้นมาตามเส้นประสาทที่เชื้อนั้นแฝงตัวอยู่นั่นเองครับ อาการเริ่มแรกจะรู้สึกเหมือนเป็นไข้หวัด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกายหรือเจ็บแสบร้อนบริเวณผิวหนัง จากนั้นจะเริ่มมีผื่นแดงเป็นทางยาวตามแนวเส้นประสาทของร่างกาย เช่น ลำตัว แขน ขา แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณลำตัว หลังเกิดผื่นหนึ่งวันจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสและตกสะเก็ด ประมาณ 1-2 สัปดาห์และหายไปเองได้ แต่อาการปวดตามแนวเส้นประสาทอาจจะยังอยู่เป็นสัปดาห์หรือหลายเดือนเลยก็ได้ และอาการจะรุนแรงขึ้นในผู้ที่มีอายุมากขึ้นอีกด้วยครับ โรคงูสวัดเป็นโรคที่สามารถรักษาหายภายใน 2-3 สัปดาห์ แต่ในบางคนที่เริ่มการรักษาช้า อาจมีอาการปวดเส้นประสาทเรื้อรังได้นานเป็นปี และในบางภาวะโรคงูสวัดสามารถกลายเป็นโรคที่มีความรุนแรงจนเกิดอันตรายถึงขั้นพิการ หรือเสียชีวิตได้เลยนะครับ หากเกิดการติดเชื้อที่อวัยวะสำคัญอย่างเช่นดวงตา หรือเยื่อหุ้มสมอง หากมีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าจะเป็นงูสวัด ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม ส่วนการป้องกันโรคงูสวัดนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งควรได้รับการฉีดในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่วนในผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ภูมิต้านทานไม่แข็งแรง อาจจำเป็นต้องได้รับการฉีดก่อนอายุ 60 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหรือลดความรุนแรงของอาการลงได้ครับ รวมถึงการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เท่านี้ร่างกายของเราก็จะมีภูมิต้านทานและห่างไกลจากโรคงูสวัดแล้วครับ

1 22 23 24 25 26 46