โรงพยาบาลรามคำแหง

ปวดท้องประจำเดือน อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย

ปวดท้องประจำเดือน อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้าย

ผู้หญิงหลายคนเวลามีประจำเดือนทีไร ความทรมานจากการปวดท้องประจำเดือนก็ถามหา บางคนปวดไม่มาก แต่บางคนปวดจนหน้าซีด นอนซม หากมีอาการรุนแรง อาจรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนและอาเจียน รวมทั้งอาจถ่ายบ่อยด้วยครับ อาการปวดท้องเวลามีประจำเดือนนั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ โดยพบมากถึง 50% ของผู้หญิงที่มีประจำเดือน และมี 10% มักจะปวดท้องถึงขั้นไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เลยนะครับ ในช่วงที่เป็นประจำเดือนจะมีการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อในมดลูก จึงทำให้คุณผู้หญิงทั้งหลายปวดท้องนั่นเองครับ แต่สำหรับบางคนอาจปวดท้อง เพราะมีโรคแฝงอยู่ในมดลูก โดยมักจะส่งผลให้มีประจำเดือนมากผิดปกติ หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานบ่อยๆ ร่วมด้วย ปกติแล้วอาการปวดท้องประจำเดือนจะปวดมากในช่วง 1-2 วันแรกเท่านั้น แต่หากใครที่ยังปวดอยู่ต่อเนื่องและมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการปวดและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไปนะครับ

ปรับพฤติกรรมการกินสักนิด พิชิตกรดไหลย้อน

ปรับพฤติกรรมการกินสักนิด พิชิตกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อนมีสาเหตุมาจากหูรูดกระเพาะอาหารบางส่วนผิดปกติทำให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาทางหลอดอาหาร ภาวะเช่นนี้ส่งผลให้เกิดอาการที่เรียกว่า Heart Burn นั่นคือความรู้สึกจุกแน่น ปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกไปจนถึงลิ้นปี่ เปรี้ยวหรือขมในคอ เรอบ่อย โดยอาจมีอาการเวียนหัวและคลื่นไส้ร่วมด้วย การหลีกเลี่ยงกรดไหลย้อนนั้นทำได้ไม่ยาก แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ทั้งเรื่องปริมาณและชนิดของอาหาร ไม่ทานอาหารรสเปรี้ยว เผ็ด อาหารหมักดอง อาหารมัน อาหารย่อยยาก ชา กาแฟ น้ำอัดลม ฯลฯ รวมทั้งควรงดทานอาหารก่อนเข้านอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง งดสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เท่านี้ก็ทำให้เราห่างไกลจากกรดไหลย้อนได้แล้วนะครับ โรคกรดไหลย้อนถึงจะดูเป็นเหมือนอาการที่น่ารำคาญ และไม่ร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย อย่างน้อยก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง

ทำไมต้องตรวจลำไส้ใหญ่? อายุ 50 ปี ไม่เห็นมีอาการ

ทำไมต้องตรวจลำไส้ใหญ่? อายุ 50 ปี ไม่เห็นมีอาการ

ปัจจุบันเราพบโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากสาเหตุทางพันธุกรรมแล้วยังเกิดจากการกินอาหารที่มีกากใยน้อย กินอาหารแปรรูป ปิ้งย่าง สูบบุหรี่ รวมทั้งดื่มสุราเป็นประจำ ก็ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เช่นกันครับ ในช่วงแรกอาจไม่มีอาการผิดปกติอะไร จนกระทั่งเนื้องอกเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น อาจทำให้น้ำหนักลดลง การขับถ่ายผิดปกติ เช่นมีเลือดปน ท้องผูกสลับท้องเสีย หรืออุจจาระมีขนาดเล็กลง เมื่อมะเร็งลุกลามมากขึ้น อาจทำให้เกิดลำไส้อุดตัน ปวดท้องรุนแรง หากมะเร็งเกิดที่ลำไส้ส่วนปลาย อาจพบก้อนเนื้อยื่นออกมาทางทวารหนักได้ ส่วนใหญ่จะพบอาการก็เมื่อเป็นในระยะลุกลามหรือก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่แล้ว นอกจากการเลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้อง การเข้ารับการตรวจเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น หากสงสัยอาการสอบถามได้นะครับ หรือแอดไลด์มาสอบถามได้ครับ Line@: https://goo.gl/D8TUjM

ลำไส้แปรปรวน โรคยอดฮิตวัยทำงาน

ลำไส้แปรปรวน โรคยอดฮิตวัยทำงาน

ลำไส้แปรปรวนเกิดจากความผิดปกติในการบีบตัวของลำไส้ใหญ่มากเกินไป และมีอาการไวต่อสิ่งกระตุ้น เช่น อาหารที่มีรสจัด ชา กาแฟ กินอาหารมากเกินไป หรือกินอาหารผิดเวลาบ่อยๆ และความเครียด ส่งผลให้มีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ถ่ายบ่อย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องร่วมกับมีการขับถ่ายที่ผิดปกติ บางรายอาจมีอาการท้องผูก ท้องเสีย หรือท้องผูกสลับกับท้องเสีย อาการปวดท้องแน่นท้องจะดีขึ้นเมื่อหยุดถ่ายนั่นเองครับ… นอกจากนี้ต้องไม่มีอาการอันตราย เช่น ถ่ายอุจจาระมีมูกหรือเลือดปน ซีด อาเจียน อุจจาระมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ มีอาการปวดเบ่งถ่ายอุจจาระไม่สุด แม้ว่าโรคลำไส้แปรปรวนจะไม่ร้ายแรง แต่อาการปวดท้องก็สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วยไม่น้อย แถมยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้นเราจึงควรหมั่นสังเกตอาการ และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิด รวมถึงการทานอาหารที่เหมาะสมครบหมู่ เน้นอาหารที่มีกากใยสูง หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดเกินไป ก็จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคนี้แล้วครับ…สงสัยอาการสอบถามได้นะครับ สายด่วนสุขภาพโทร 0-2743-999 หรือแอดไลด์มาสอบถามได้ครับ Line@: https://goo.gl/D8TUjM

ปวดท้องอย่าวางใจ! ต้องรีบไปหาหมอ

ปวดท้องอย่าวางใจ! ต้องรีบไปหาหมอ

ปวดท้องแบบไหน? ที่ต้องรีบไปหาหมอด่วนๆ มาดูกันครับ! * ปวดท้องนานเกิน 6 ชั่วโมง * ปวดท้องจนกินอะไรไม่ได้ * ปวดท้องและอาเจียนร่วมด้วย 3-4 ครั้ง * ปวดท้องพร้อมมีไข้ * ปวดท้องจนเดินไปไหนไม่ได้ * ปวดท้องน้อยด้านขวา * กินยาแล้วยังปวดอยู่ไม่หาย อาการเหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้อุดตัน โรคกระเพาะอาหาร หรือไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งอันตรายมากๆ เลยนะครับ อาการปวดท้องอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แม้ว่าจะปวดนิดเดียวก็ไม่ควรละเลย ต้องคอยหมั่นสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ ก็ควรรีบมาหาหมอ ถ้าปล่อยเรื้อรังนานๆ อาจสายเกินแก้ สงสัยอาการสอบถามได้นะครับ… สายด่วนสุขภาพโทร 0-2743-9999 หรือแอดไลด์มาสอบถามได้ครับ Line@: https://goo.gl/D8TUjM

ท้องเสียแบบไหนต้องใช้ยารักษา

ท้องเสียแบบไหนต้องใช้ยารักษา

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ถ้าท้องเสียต้องกินยาฆ่าเชื้อ เพื่อจะได้ฆ่าเชื้อในลำไส้และช่วยให้หยุดถ่าย ซึ่งจริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องกินยาฆ่าเชื้อทุกครั้งไปนะครับ ท้องเสีย คือ อาการถ่ายอุจจาระเหลวผิดปกติ หรือถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย ที่ปนเปื้อนมากับอาหารหรือน้ำที่เรารับประทานเข้าไปนั่นเองครับ โดยทั่วไปแล้วอาการท้องเสียจะค่อยๆ หายไปเองได้ แค่ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) ทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป โดยไม่ต้องรักษาแต่ถ้าหากมีอาการถ่ายเป็นมูกเลือด และมีไข้สูง หรือถ่ายเป็นน้ำซาวข้าว ควรมาพบแพทย์เพื่อเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม กรณีที่อาการท้องเสียรุนแรง เช่น อุจจาระมีมูกปนมีกลิ่นเหม็น คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง มีไข้สูงกว่า 38.5 องศา และมีอาการท้องเสียนานกว่า 48 ชั่วโมง ต้องรีบมาพบแพทย์โดยด่วนเลยนะครับ ท้องเสียสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน การรักษาความสะอาดและเลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัยเป็นการป้องกันที่ดีสุดครับ

กลืนติด กลืนลำบาก จากแผลในหลอดอาหาร

กลืนติด กลืนลำบาก จากแผลในหลอดอาหาร

คนส่วนใหญ่ชอบทานอาหารรสจัด อาหารหมักดอง ของทานเล่น ของมันมากๆ ของหวานจัด ซึ่งอาหารเหล่านี้แหละครับที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารมากขึ้น และมีโอกาสที่แก๊สจะล้นทะลักขึ้นมา ซึ่งกรดหรือน้ำย่อยจะไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารทำให้เกิดแผลที่หลอดอาหารได้นั่นเองครับ นอกจากเรื่องการรับประทานอาหารแล้ว ยาบางชนิดก็อาจทำให้เกิดแผลในหลอดอาหาร รวมถึงเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัสก็สามารถทำให้เกิดแผลในหลอดอาหารได้เช่นกันครับ ซึ่งอาการพบได้หลากหลายเลยครับ ตั้งแต่เจ็บหน้าอก แสบร้อนในช่องอก แล้วก็เรอเปรี้ยว ถ้าเป็นมากๆ อาจมีอาการกลืนติด กลืนลำบาก ไอ สำลัก หรือบางคนอาจถึงกับเป็นหอบได้เลยนะครับ แผลในหลอดอาหารมักจะมีอาการของโรคกระเพาะอาหารและหลอดอาหารอักเสบร่วมด้วย ถ้าปล่อยให้แผลในหลอดอาหารอักเสบและเป็นเรื้อรังนาน จากแผลเล็กๆ ก็จะค่อยๆ ขยายมากขึ้น มีการกระจายของเซลล์ค่อนข้างเร็ว ทำให้เซลล์ตรงนั้นผิดปกติแล้วก็เสื่อมสภาพจนอาจกลายเป็นมะเร็งได้เลยนะครับ ทางที่ดีหากพบว่ามีอาการผิดปกติ หรือมีอาการเหมือนที่กล่าวมา ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของโรค และรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม ก่อนที่จะลุกลามจนรักษาไม่ได้นั่นเองครับ

อาการชวนสงสัย โรคหอบหืดในเด็ก

อาการชวนสงสัย โรคหอบหืดในเด็ก

หลอดลมของเด็กที่เป็นโรคหอบ หืด มีความไวกว่าคนปกติ ส่งผลให้ภายหลังการติดเชื้อโรคหวัดหรือเมื่อสัมผัสกับสารที่ผู้ป่วยแพ้ หรือจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง เด็กจะเกิดการหายใจลำบาก หายใจแน่น เหนื่อย หอบ มีเสียงครืดคราดในอก บางครั้งหายใจเป็นเสียงวี๊ดๆ ได้ครับ โรคหืดในเด็กมักมีสาเหตุจากโรคภูมิแพ้ การป้องกันการกระตุ้นไม่ให้ร่างกายสร้างภูมิแพ้เป็นเรื่องที่อาจช่วยได้ เช่น การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดเป็นเวลานานอย่างน้อย 6 เดือนครับ โรคหืดในเด็กเป็นโรคเรื้อรังที่เป็นสาเหตุให้สุขภาพโดยรวมของเด็กไม่ดี มีผลต่อการทำงานของปอดในระยะยาว หากลูกน้อยมีอาการชวนสงสัยว่าจะเป็นหอบ หืด ควรพาลูกไปพบคุณหมอตรวจดูอาการให้แน่ใจ และรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไปครับ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ https://goo.gl/F6FYMF

ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก โรคเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในเด็ก โรคเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก ส่วนใหญ่พบในเด็กผู้หญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะในเด็กผู้หญิงสั้นกว่าเด็กผู้ชาย จึงมีปัญหาการติดเชื้อได้มากกว่านั่นเองครับ เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีไข้สูง ปวดท้องเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย ไม่สุด ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็นมีสีแดงหรือขุ่น ซึ่งบางครั้งอาการแสดงไม่ชัดเจน ส่งผลให้เด็กไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้อง ถ้าปล่อยไว้นานอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้นะครับ การทำความสะอาดหลังการขับถ่าย ควรเช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในอุจจาระเป็นตัวก่อโรคที่สำคัญ ควรให้ลูกดื่มน้ำมากๆ และอย่ากลั้นปัสสาวะ โรคนี้เกิดขึ้นได้บ่อยในเด็ก คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องวิตกกังวลจนเกินไปนะครับ เพียงแค่ต้องหมั่นดูแลใส่ใจและสังเกตพฤติกรรมอาการของลูกอยู่เสมอ หากสงสัยว่าลูกเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสมครับ… อ่านข้อมูลเพิ่มเติมคลิก https://goo.gl/KF8TY4

ลูกเป็นสาวก่อนวัย ทำอย่างไรดี?

ลูกเป็นสาวก่อนวัย ทำอย่างไรดี?

ปัจจุบันพบว่าเด็กมีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมักจะเกิดในเด็กผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ โดยเริ่มมีเต้านมก่อนอายุ 8 ปี หรือมีประจำเดือนก่อนอายุ 9 ปี โดยปกติแล้ว เมื่อเด็กหญิงเริ่มเป็นสาว จะมีฮอร์โมนเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คือ เริ่มมีเต้านม มีความสูงเพิ่มเร็วขึ้น โดยสังเกตจากอัตราการเพิ่มความสูงจะมากกว่า 5-6 ซม.ต่อปี จนเมื่อเข้าสู่การเป็นสาวเต็มที่ก็จะมีประจำเดือน และจะหยุดสูงหลังจากมีประจำเดือนสม่ำเสมอไปแล้วประมาณ 3 ปี เนื่องจากฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นในช่วงวัยรุ่นจะส่งผลให้กระดูกระหว่างข้อต่อปิดเร็วขึ้นทำให้เด็กหยุดสูงได้นั่นเองครับ… ภาวะเป็นสาวก่อนวัยมีหลายสาเหตุ แต่ 90-95 % ของเด็กหญิงที่เป็นสาวก่อนวัยเป็นชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ ส่วนน้อยเกิดจากความผิดปกติในสมอง, มีการสร้างฮอร์โมนเพศจากตำแหน่งอื่นๆ ในร่างกาย หรือได้รับการกระตุ้นฮอร์โมนเพศจากภายนอก เมื่อหาสาเหตุพบแล้ว จะนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสมต่อไปครับ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/ZoFNN5

1 25 26 27 28 29 46